5 บทเรียนชีวิตและธุรกิจ (ภาค 1) จากซีรีย์ สงครามส่งด่วน Mad Unicorn ซีรีย์น้ำดี ของ GDH ที่กำลังเป็นกระแส

Posted on: มิถุนายน 12, 2025, by :

5 บทเรียนชีวิต และ ธุรกิจ (ภาค 1) จากซีรีย์ สงครามส่งด่วน Mad Unicorn ซีรีส์น้ำดี ของ GDH โดย CEO MeowLogis Fulfillmen คุณโจ ณัฏฐ์ธเดช ชัยปกรณ์วงศ์

      กระแสซีรีส์นี้ทำให้คนที่ได้ดู หัวฟูไฟลุก อยากลุกขึ้นมาทำธุรกิจ อาจจะเป็นกระแสสักพัก แบบหนังวัยรุ่นพันล้าน หรือเถ้าแก่น้อย เมื่อหลายปีก่อน แต่ผมว่าดีนะ ที่มีหนังที่ส่งเสริมให้คนไทยเป็น SME อีกเรื่อง เพราะการศึกษาปกติจะไม่ได้สอนให้เป็นผู้ประกอบการ และ คนส่วนใหญ่มักคิดว่าตัวเองไม่มีทุน ไม่มีเงินก็ทำธุรกิจอะไรไม่ได้หรอก ให้คนอื่นแหละทำไป

ซีรีส์เรื่องนี้ สร้างมาจากเรื่องจริงของ คุณคมสัน ผู้ก่อตั้ง Flash Express ผู้ประสบความสำเร็จในธุรกิจจาก 0 เกิดบนดอย แต่มีความรู้ภาษาจีน และนำทุนด้านความรู้ภาษาจีนนี้ไต่เต้ามาจนถึงทุกวันนี้

     ผมดูรวดเดียวจบ 7 ตอน บอกเลยว่า 10/10 แต่คงไม่ได้มาชมเรื่องการแสดง หรือบทที่ดีอย่างเดียว

     แต่ผมอยากจะมาแชร์ประสบการณ์และแนวคิด เป็นบทเรียนที่ได้จากซีรีส์เรื่องนี้ในมุมความคิดเห็นส่วนตัว และมุมฐานะเจ้าของธุรกิจที่สร้างตัวจาก 0 เช่นกัน

    อาจจะมีเนื้อหาของซีรีส์ที่อาจจะสปอยเล็กน้อย แนะนำไปดูก่อนที่จะอ่านต่อไปข้างล่างนี้นะครับ

บทเรียนที่ 1: ทำธุรกิจ…ก็เหมือนมี “ลูก” ผู้ก่อตั้งก็คือพ่อแม่

     ตอนเริ่มต้นน่ะ ทุกคนก็อยากทำธุรกิจเพราะ #อยากรวย ใช่มะ?
พูดไม่อายปากเลย! ผมเองก็เหมือนกัน
ตั้งแต่สมัยเรียนแค่คิดว่า “ขออย่าได้เป็นมนุษย์เงินเดือน” ขอมีธุรกิจเป็นของตัวเอง จะได้ #รวยจุกๆ

     พระเอก สันติ ก็ไม่ต่างกัน
วิชั่นชัดมาก — “ขอมีเงินหนักเท่าตราชั่ง 100 กิโล = 100 ล้าน!”
โอ้โห ความฝันแม่งชั่งน้ำหนักได้!

      แต่พอทำไปเรื่อยๆ โดนโลกธุรกิจตบหน้าหัน
จากคนที่อยาก “หาเงิน” กลายเป็นคนที่ต้อง “หาเงินมาเลี้ยงบริษัท”
หาเงินเดือนมาให้พนักงาน
กู้แบงก์ ควักเงินเก็บ
ตัวเองนอนโกดัง นอนห้องเช่าโทรมๆ
เพื่อให้ “ลูก” ที่ชื่อว่าธุรกิจ…ไม่ตาย!

     ณ จุดนั้นแหละ ความรู้สึกมันเปลี่ยนไปเลย
บริษัทไม่ใช่เครื่องผลิตเงินอีกต่อไป แต่มันกลายเป็น “ลูกน้อย” ที่กำลังหัดคลานและคุณต้องคอยป้อนนม เช็ดขี้ ดูแลทุกเรื่อง จนมันโตพอจะ “ยืนได้ด้วยตัวเอง”

     ในซีรีส์มีฉากเด็ด พระเอก เป็น CEO ที่มีอำนาจสูงสุด กับนางเอก เป็น CFO มีหน้าที่ดูการเงิน ซึ่งก็เปรียบเป็น พ่อกับแม่ของบริษัท

     มีตอนที่ นางเอกเผลอใจพูดกับพระเอกว่า “การสร้างบริษัทมันก็เหมือนมีลูกเหมือนกันนะ” “อยากดูลูกของเราโตไปด้วยกันปะละ”
และมีตอนที่นางเอกก็ยอมเสียสละหุ้นตัวเองทั้งหมด แลกกับเงินทุนก้อนสุดท้าย เพื่อทำให้ธุรกิจได้ไปต่อ

     โอ้โห! นี่ไม่ใช่ความรัก…แต่นี่คือความเป็น “พ่อแม่” ที่แท้จริง

ธุรกิจที่รอด คือธุรกิจที่มี “พ่อแม่” คอยฟูมฟัก ไม่ใช่เจ้าของที่มองแค่ตัวเงิน
พอรักมันจริง คุณจะไม่คิดถึงคำว่า “รวย” เลย เพราะ…
ลูกที่ยังไม่แข็งแรง แม่งกินเก่ง ดูดเงินยิ่งกว่าเครื่องดูดฝุ่น!

     แต่ถ้าคุณเลี้ยงดี พอวันหนึ่งลูกโตแล้วมันจะหาเงินเลี้ยงคุณคืนเอง…พร้อมดอกเบี้ย!

     ส่วนคนที่เริ่มธุรกิจเพราะอยากรวย แต่…
-เอาเปรียบหุ้นส่วน
-ขูดเลือดพนักงาน
-หลอกลวงลูกค้า
-จิ๊กเงินบริษัทไปซื้อของฟุ่มเฟือย
-ทำธุรกิจแบบ “ขอสั้นๆ รวยไวๆ”
ธุรกิจแบบนั้นเจ๊งแน่นอน — และจะไม่มีวันได้เห็นลูกโตเลยด้วยซ้ำ!

บทเรียนที่ 2 : ไม่มี “ทุน” เป็นเงิน…ก็เริ่มด้วย “ทุน” ความรู้

     เพราะคนไม่มีเงิน…ก็ต้องใช้สมองให้รวยแทน!
เรื่องมันเริ่มจากพระเอก สันติ เจอ “เจ้าสัวคณิน” พูดธุรกิจแบบไฟลุก

     พี่แกก็ถามตรงๆ ว่า…
“ผมไม่มีเงินสักบาท จะไปตั้งแถวใหม่อย่างเฮียได้ไงอะ?”

     คำถามนี้…คือจุดเริ่มของทุกคนที่ยังไม่มีอะไรในชีวิต
เพราะถ้าพระเอกมัวแต่คิดแบบลูกจ้าง ไม่กล้าถาม ไม่กล้าเรียนรู้ ชีวิตก็คงติดอยู่ในวงจร “ทำงานวนลูป – เงินไม่พอ – ลาออกไม่ได้”

ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้…
เจอคนเก่ง = ไม่กล้าถาม
เจอของใหม่ = ไม่อยากเรียน
เจอความรู้ = ทำหน้างงแล้วเดินหนี

     ในขณะที่คนที่สำเร็จจริง เค้าเริ่มจาก “การลงทุนในสมอง” ไม่ใช่ในบัญชี!

     ดู “คุณคมสัน” เจ้าของ Flash ตัวจริงเป็นตัวอย่าง
เริ่มจาก “เด็กดอยวาวี”
ไม่มีคอนเนกชัน
ไม่มีเงิน
มีแต่ “ความรู้ภาษาจีน + ความฝันที่ชัดเจน”

     แต่พี่แกใช้ภาษาจีน ไปเจอ CTO ชาวจีนชื่อ Wei Jia แล้วปั้นธุรกิจ Flash จนระเบิด

     ไม่ใช่แค่พูดจีนได้แล้วจะสำเร็จนะพี่น้อง —
พี่แกต้องเรียนเพิ่มอีกเพียบ!
-ศิลปะการขาย
-การเจรจาระดับเทพ
-การพรีเซนต์ให้ขนลุก
-การตลาดรุกทุกแพลตฟอร์ม
-บัญชีเข้าใจยันงบดุล
-ธุรกิจลุยแบบไม่มีหลงทาง
-และยังเรียนรู้ ไม่หยุด จนถึงทุกวันนี้

     ผมเองตอนเริ่มก็ไม่มีเงินเหมือนกันครับ
เก็บเงินมาทำธุรกิจตัวแรก เจ๊ง! ตูมแรกหนี้หลักแสน
แต่ยังไม่ตาย เรียนใหม่ ลุยใหม่

     20 ปีผ่านไป วันนี้ธุรกิจผมมียอดปีละ 100 ล้าน
และยังไม่หยุดเรียน เพราะเป้าคือ 500 ล้าน – 1000 ล้าน!
“จะไม่หยุดจนกว่าจะพูดคำว่า ‘สำเร็จระดับประเทศ’ ได้เต็มปาก!”

     ส่วนใน Mad Unicorn…
ขอยกนิ้วให้เรื่อง “ภาษาจีน” เลยครับ!
ผมกำลังเรียนจีนอยู่พอดี เจอเรื่องนี้พูดจีนเกือบ 50%
– คำศัพท์ง่ายกว่าหนังจีนจริง
– สำเนียงชัด ฟังรู้เรื่อง
– ได้ฝึกจีน แบบดูเพลินแต่อัปเลเวลภาษาทุกซีน

     แต่ที่ทึ่งสุดคือ “ไอสึ” พระเอกของเรื่อง
ก่อนถ่ายคือพูดจีน ไม่ได้สักคำ!
แต่ซ้อมแค่ 2 เดือนจนพูด สำเนียงจีนกลางเป๊ะเว่อร์

     ผมเองก็มีเป้าหมายอยากพูดจีนได้คล่องเหมือนภาษาอังกฤษ
เพราะตอนนี้มีทีมงานที่ไต้หวัน และฝันอยากทำธุรกิจในจีน
พอดู Mad Unicorn เลยไฟลุกเลยครับ!

     ใครที่ยังคิดว่า “ไม่มีทุน ไม่มีโชค ไม่มีจังหวะ”
ให้เปลี่ยนความคิดซะ!
     เพราะไม่มีทุนเงิน…เราก็ต้อง “ใช้สมองเป็นต้นทุน”
ถ้าอยากรวยแบบพระเอก…เริ่มจาก “ลงทุนในความรู้” แบบจริงจัง!

บทเรียนที่ 3 เป็นเจ้าของธุรกิจ ไม่ได้แค่ “สั่งงาน” แต่ต้อง “ตัดสินใจทุกอย่าง” โดยเฉพาะเรื่องที่ใครๆ ก็ไม่อยากยุ่ง!
     และขอบอกไว้ตรงนี้เลย…
คุณ “หนีการเมืองในบริษัทที่คุณสร้างเองไม่ได้” หรอก!!

     คนส่วนใหญ่มอง CEO ว่า…
“โอ๊ย สบายอะ วันๆ ชี้นิ้ว นั่งดื่มกาแฟในออฟฟิศๆ แล้วรอเงินเข้า”
     ขอโทษนะครับ…
โลกของธุรกิจจริงๆ ไม่ได้มีแต่เค้กกับขนม
แต่มันคือ “เกมการตัดสินใจ” ที่มีดราม่าหนักกว่าซีรีส์ Netflix!

     อย่างใน Mad Unicorn พระเอก สันติ ต้องรับมือทั้ง…
น้องชายที่เข้ามาทำงาน…แต่สุดท้ายเอาลูกปืนมาขู่พี่ (ครอบครัวนี้อบอุ่นดีจริงๆ)
     เพื่อนสนิทที่ตอนแรกมาช่วย…สุดท้ายแอบเอาน้ำมันบริษัทไปขายเงียบๆ (ก็เพื่อนมีลูกมีเมียต้องเลี้ยง)

     เฮ้ย! แล้วจะทำไง?
“คนนั้นก็เพื่อน…คนนี้ก็ญาติ…”
แต่ธุรกิจไม่ใช่สายบุญ ต้องเลือกข้าง “ความถูกต้อง” ไม่ใช่ “ความถูกใจ”

     ผมเองก็เจอเรื่องแบบนี้ครับ
ตอนเริ่มสร้างทีมงาน แน่นอน ก็ต้องมีทั้งเพื่อนทั้งญาติเข้ามาช่วย

     ฟังดูอบอุ่นใช่มะ? แต่เชื่อผม…
ธุรกิจที่มีญาติเข้า-เพื่อนเข้า = หนังเมืองคานส์เวอร์ชันออฟฟิศ

     แน่นอนมีคนซุบซิบ: “อ๋อ…คนนั้นญาติเจ้านาย เด็กเส้น”
ฝั่งญาติก็จะบ่น: “อ้าว…เป็นญาติกัน ทำไมเจ้านายดันเพื่อนมากกว่าล่ะ?”

     สุดท้ายไม่ว่าคุณจะวางตัวกลางแค่ไหน…
“จะไม่มีใครถูกใจคุณ 100% อยู่ดี!”
อันนี้ไม่นับพนักงานปกติ ที่ไม่มีความเกี่ยวข้อง

     บทเรียนคือ…คุณต้องใจแข็ง เลือกตัดสินใจให้ดีที่สุด “เพื่อองค์กร”
ไม่ใช่เพื่อให้ใครพอใจ
คุณต้องกล้าตัดสินใจ แม้จะเสียเพื่อน เสียญาติ

     แต่สิ่งที่คุณต้องรักษาไว้ให้สุดคือ “ความเป็นธรรมของทั้งองค์กร” เพราะยังมีหลายคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง
และถ้ามีใครทำผิด…ก็ต้องรับผิดตามกฎ!
ถ้าคุณไม่มีหลักการ นั่นคือทางลัดสู่บริษัทพังแบบไม่รู้ตัว

บทเรียนที่ 4 ถ้าคิดจะทำธุรกิจ…ขายแม่งให้ได้ทุกอย่าง แม้กระทั่ง “อนาคตที่ยังไม่เกิด”

     ดูชีวิตพี่สันติสิ!
พระเอกของเราคือ “ขายแบบไม่มีเงื่อนไข” ขายตั้งแต่หมอนยันหุ้นบริษัท!

     เริ่มจากขาย หมอนยางพารา ตอนเป็นไกด์ให้คนจีน
ขยับมา ขายคอนโด
ขายโปรเจกต์หมื่นล้านให้เจ้าสัว แบบไม่มีทีม ไม่มีแบ็ค มีแต่ความมั่นหน้า!
และไปขายโปรเจคต่อให้ Easy Express ที่เมืองจีน

     พอโดนหักหลัง…ไม่ยอม! เดินหน้าต่อ ขายวิสัยทัศน์จน CTO ที่ด่าไฟแล่บ ยอมมาเข้าร่วม
สุดท้าย ขายหุ้นบริษัทให้ทุนจีน ได้เงินมาปลุก Thunder Express ให้ลุกเป็นพายุ

     ดูแล้วขายเหนื่อยแทน…แต่โคตรจริง!
ถ้าคุณ “ไม่ชอบขาย” หรือ “กลัวการขาย” บอกเลยว่าอย่าทำธุรกิจดีกว่า
ธุรกิจไม่มีคำว่า “ไม่กล้า” มีแต่ “ไม่ได้ตังค์”

     และขอพูดในฐานะคนที่ทำธุรกิจมา 20 ปี
ลูกน้องคุณไม่มีวันขายเก่งกว่าคุณ
ความบ้า ความไฟลุกของคุณจะถูก copy ไปแค่ 30% เท่านั้น
ถ้าคุณไม่เป็นนักขายที่ดี ทีมคุณก็จะเป็นทีมที่ดี “ไม่สุด”

     ในซีรีส์มีฉากโคตรเท่:
CEO สันติ ท้าแข่งกับทั้งทีม ว่าใครจะหายอดมาส่งพัสดุได้มากกว่า
ผลคือ… CEO คนเดียวแต่ยอดมาทีละหลายพันกล่อง ลูกน้องอ้าปากค้าง วิ่งหาลูกค้าแทบขาขวิด

“หัวมังกรเป็นยังไง ตัวและหางก็จะเป็นแบบนั้นแหละ”

🔥 ธุรกิจที่ดี ไม่ได้เริ่มจากแผน แต่เริ่มจาก “การลงมือขาย” ด้วยตัวเอง
เพราะยอดแรกๆ มันจะไม่มา ถ้าคุณไม่ออกไปลากมันเข้ามาด้วยมือ

บทเรียนที่5 ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว CEO หรือเจ้าของกิจการ ก็เป็นคนเหมือนกัน เหนื่อยได้ ตายเป็น

     ตอนท้ายสุด ที่พระเอก สันติ พาแม่มาดู Office Thunder Express ที่ได้เป็น ยูนิคอร์นแล้ว
     และแน่นอนตรงนี้มาจากเรื่องจริง 100% เพราะผมได้เห็นคุณคมสัน ได้โพสตรงนี้ด้วยตัวเองในเฟสส่วนตัว เรื่องคุณแม่

     จากในหนังจะเห็นว่า พ่อกับแม่ พระเอกได้แยกทางกัน และพ่อมีครอบครัวใหม่ และแม่อยู่บนดอยทำงานเป็นครูสอนภาษาจีน

     ซึ่งน้องชายก็กลับลงตามมากรุงเทพ มาทำงานที่ Express ด้วย แม่จึงอยู่คนเดียวเป็นเวลาหลายปี
แต่ผ่านไปหลายปี ผ่านอุปสรรค์มากมาย พระเอกก็ไม่เคยได้บอกคุณแม่ว่ามาทำธุรกิจ ไม่ได้เป็นพนักงานประจำ

     พอพาคุณแม่มาดูคลังที่ยิ่งใหญ่ ก็สารภาพกับแม่ว่า เป็นบริษัทของผมนะ
     คำพูดของแม่คำแรก “เหนื่อยไหมลูก” คำนี้ผมน้ำตาซึม
จะมีกี่คนที่จะถามว่า “เหนื่อยไหม” กับเจ้าของธุรกิจหรือ CEO ก็คงมีแต่พ่อกับแม่นี้ละ

     และอีกประโยคที่ทำผมน้ำตาไหล
“แม่ภูมิใจในตัวลูกมากน่ะ”

     ผมมีประสบการณ์ตรง กับคุณพ่อผม คุณพ่อผมเสียไปหลายปีก่อน ก่อนที่จะเสียแบบกระทันหัน คุณพ่อผมก็ติดตามการทำธุรกิจของผมอยู่ตลอด

     และบางทีก็โทรมาสอบถามว่าเป็นยังไงบ้าง ผมเองต่างหากที่ไม่เคยโทรไปหาพ่อกับแม่ผมเลยเป็นแบบนี้เกือบ 10 ปี เพราะโฟกัสกับการทำงานอย่างเดียว

     แต่พ่อผมก็ติดตามผมจากสื่อ จากนิตยสาร เก็บทุกเล่มที่มีข่าวเกี่ยวกับผม บางทีอ่านแล้วก็โทรมาหา และก็แน่นอนบนเฟสแห่งนี้ คือตามกด like ทุกโพสเลย

     และตอนที่ผมทำธุรกิจสำเร็จได้ดี และมั่นคงแล้วหลายปีก่อน
ป๊ามาหาที่ Office กับม๊า มาเดินชม Office เดินดูพนักงานทำงาน

     เดินไปทั่วตึกจนมานั่งคุยที่ห้องที่ผมทำงาน
พูดแบบในตอนจบของซีรีย์
“ป๊าภูมิใจในตัวลูกมากนะ”
ผมงี้รู้สึกเหมือนอะไรบนบ่ามันหายไป สิ่งที่กดดัน หนักอึ้งในทุกด้าน ก็เบาลงไปทันที

     ป๊าเป็นคนที่ทำธุรกิจ และรักลูกน้องมาก และป๊าบอกว่า ภูมิใจที่ลูกโจ ได้สร้างงาน สร้างเงินให้กับอีกหลายชีวิต

     ป๊าไม่เคยถามว่าได้เงินเท่าไหร่ เงินเก็บเท่าไหร่ มีทรัพย์สินอะไร ใส่แบรนด์เนมอะไร
     แต่มักจะถามว่า พนักงานคนนี้ชีวิตเค้าเป็นยังไง ทีมงานคนนี้มีบ้านแล้วใช่ไหม ลูกน้องคนนี้มีรายได้ดีขึ้นไหม

     ตอนแรกผมก็คิดว่าป๊าถามอะไรแปลกๆ แต่พอตอนหลังเข้าใจได้ดี
     ป๊าเค้าใส่ใจถึงคนที่อยู่ภายในการดูแลของผมจริงๆ ไม่ได้มองว่าลูกชั้นรวยแล้ว ลูกชั้นเป็นเจ้าคนนายคน ชี้สั่งคนเท่มาก

     และสิ่งนี้ ผมว่าคนทำธุรกิจที่จะสำเร็จ ต้องมีกำลังใจจากคนรอบข้าง
     เพราะ CEO หรือเจ้าของกิจการก็เป็นคนที่ต้องการกำลังใจ
และต้องรักษาสุขภาพจิต และสุขภาพกายไว้ เพราะเราเก่งขนาดไหนก็สามารถตายได้ เหนื่อยเป็น

     คนที่สำเร็จต้องหาจุดเติมพลังหัวใจไว้ และแน่นอน ไม่ใช่ด้วยเงิน แต่คือความสัมพันธ์อันดีกับคนรอบตัว

นี่แค่ 5 ข้อก็ยาวมาก
#เดี๋ยวมาต่อภาค2 นะครับ See less

MeowLogis บริการ Multi-Fulfillment / One Stop Packing

Meowlogis Multi-Fulfillment เป็นมากกว่าผู้ให้บริการขนส่ง เพราะเรามีบริการแบบ Multi-Fulfillment เก็บ แพ็ค ส่ง สถิติ ที่จะช่วยให้คุณดำเนินธุรกิจอย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

ด้วยประสบการณ์การทำธุรกิจออนไลน์กว่า 12 ปี Meow Logis เป็นบริการ fulfillment แบบครบวงจรสำหรับธุรกิจทุกระดับ B2B, B2C และ SME โดยมุ่งเน้นการให้บริการที่ครบถ้วนและมีคุณภาพสูง เพื่ออำนวยความสะดวกให้พ่อค้า แม่ค้าออนไลน์ และธุรกิจขนาดใหญ่

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม



130,132 ถนน แฮปปี้แลนด์ 1 แขวง คลองจั่น เขต บางกะปิ กรุงเทพมหานคร 10240


130,132 Happy Land 1 Rd. Soi Happy Land shopping center 1 Klongjan Bangkapi Bangkok 10240

สอบถามข้อมูล เพิ่มเติม